เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ในตำนานแรก ๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำ นานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา
กล่าวถึงลัวะว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวี วงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะว่าเป็นคนเกิดในรอยเท้าสัตว์
ด้วยเหตุที่ลัวะถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนาน รุ่นหลังอย่าง
ตำนานสุวรรณคำแดงหรือตำนานเสาอินทขิล เล่าว่าลัวะเป็นผู้สร้างเวียง
เจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรีหรือเชียงใหม่
ลัวะจึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรกที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้าที่ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้วแต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
ในขณะเดียวกันที่ลำพูน
ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองกล่าวว่า พระนางจามเทวีวงศ์
ธิดากษัตริย์เมืองละโว้เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ. 1310-1311 ครั้งนั้นพระนางได้พาบริวารข้าราชบริพารที่เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการต่างๆขึ้นมาด้วย
หริภุญไชย
จึงได้รับเอาพุทฑศาสนาและศิลปวัฒนธรรมละโว้มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่
จวบจน ประมาณปี พ.ศ. 1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือลวจักราช
เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยางซึ่งได้แผ่อำนาจครอบลุมลุ่มแม่น้ำกก
และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการซ่องสุมไพร่พลเพื่อยึดครองหริภุญไชย
เนื่องจากหริภุญไชยเป็นเมืองศูนย์กลาง ความเจริญและเป็นชุมทางการค้า พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ. 1837 ก่อนจะย้ามาสร้างเวียงเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. 1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ร่วมกันสถาปนา "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้น
พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม
มีการตรากฎหมายที่เรียกว่า “มังรายศาสตร์” รวมถึงรับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักร ซึ่งทำให้พระภิกษุในล้านนาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนาได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวางพร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เองที่ได้มีการสัยคายนาพระไตรปิฏขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงในปลายสมัยพญาเมืองแก้ว
เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุงพ่อยแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมากประกอบกับเกิดอุทกภัย
กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง
พ.ศ. 2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง
และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า
และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละขึ้นครองเมืองในฐานะเมืองประเทศราช
พระเจ้ากาวิละได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่น ๆ
ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย มีการปฏิรูปการปกครอง
โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้าเป้นมณฑลพายัพ
แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม
ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี
ธิดาของเจ้าอินทวชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น